แหล่งท่องเที่ยว ภาคตะวันตก อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม
อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดหลวงตำบลวังเย็น อยู่ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรีประมาณ 20 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯไปตามถนนเพชรเกษม จนถึงสี่แยกบางแพลัวไปทางเส้นทางสายบางแพ-ดำเนินสะดวก
ภายในอุทยานฯบนเนื้อที่กว้างกว่า 42 ไร่ ธรรมชาติร่มรื่น สามารถเดินชมจุดต่างๆในอุทยานได้อย่างร่มเย็น เช่น อาคารเชิดชูเกียรติจัดแสดงรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสบุคคลสำคัญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิครูมนตรี ตราโมท, ม.ล.ปิ่น มาลากุล, แม่ชีเทเรซ่า, ประธานาธิบดีเติ้งเสี่ยวผิง, ประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุง เป็นต้น, ลานพระ 3 สมัยเป็นลานแสดงประติมากรรมพระพุทธรูป 3 สมัยหล่อด้วยทองเหลืองและรมดำ, ถ้ำชาดกจัดแสดงเกี่ยวกับพระชาติสุดท้ายของพระเวสสันดรชาดกเนื่องการให้ทาน, กุฏิพระสงฆ์หมู่เรือนไทยเป็นที่ประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งพระสุปัฏิปันโนเลื่องชื่อทั่วไทย, บ้านไทย๔ ภาค, น้ำตกจำลองและลานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
เปิดให้เข้าชมทุกวัน วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 - 16.00 น.เสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เวลา 08.30 - 17.00 น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่200 บาท เด็ก 100 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 3238 1401-3 โทรสาร 0 3238 1403 www.scppark.com
การเดินทาง
รถประจำทางปรับอากาศชั้น ๒ สายกรุงเทพฯ-ดำเนินสะดวกจากขนส่งสายใต้มาลงที่หน้าวัดหลวงแล้วข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจะถึงอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม
หมายเหตุ - มีทางลาดเข้าอาคารเกือบทุกอาคาร สำหรับผู้ใช้ wheel chair ไม่สามารถเข้าบางอาคารได้
- มีห้องสุขาสำหรับคนพิการ
ข้อมูลจาก: thai.tourismthailand.org
วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555
แหล่งท่องเที่ยวภาค ตะวันออก แก่งหินเพิง
แก่งหินเพิง ตั้งอยู่ที่ตำบลสะพานหิน อำเภอนาดี เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ที่สวยงามอยู่ในลำน้ำใสใหญ่ อยู่ในเขตความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 9 (ใสใหญ่) หรือ ขญ. 9 อำเภอนาดี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ที่เหมาะแก่การล่องเรือยางที่ท้าทาย และสนุกสนาน ในช่วงฤดูฝนราวเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน เป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำหลาก ล้นแก่ง และไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ เหมาะสำหรับการล่องแก่งหินเพิง หากพ้นช่วงฤดูฝนไปแล้วแก่งหินเพิงนี้จะกลายเป็นลานโขดหินกว้างใหญ่ การล่องแก่งหินเพิงจะผ่านแก่งต่าง ๆ ได้แก่ แก่งหินเพิง แก่งวังหนามล้อม แก่งวังบอน แก่งลูกเสือ แก่งวังไทร แก่งงูเห่า การล่องใช้แพยางนั่งประมาณ 8-10 คน ผู้ประกอบการจะพานักท่องเที่ยวเดินป่าไปยังต้นน้ำ ระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที จากนั้นจะเริ่มล่องแก่งมายังจุดสุดท้ายบริเวณ ขญ. 9 ระยะเวลาในการล่องแก่งประมาณ 20 นาที นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อบริษัทนำเที่ยวที่จัดกิจกรรมล่องแก่งหินเพิง และสามารถพักค้างแรมแบบแค้มปิ้ง หรือพักรีสอร์ทในเขตอำเภอนาดีก็ได้
ที่มา http://www.unseentravel.com/locate/280-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%87.html
แหล่งท่องเที่ยวภาคใต้ หาดตะโละกาโปร์
หาดตะโละกาโปร์ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามูตามสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาด รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี เคยประกวดแหล่งท่องเที่ยว 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ได้ที่ 2 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี 2529 หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล มีเรือกอและของชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก หาดทรายแห่งนี้งอกยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะเกิดจากกระแสน้ำพัดเอาตะกอนทรายมาทับถมพอกพูน เหมาะแก่การไปนั่งพักผ่อนชมความสวยงาม มีทิวสนและต้นมะพร้าวให้ความร่มรื่นสวยงาม
ข้อมูลจาก : teawtourthai.com
แหล่งท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย
มีพื้นที่ประมาณ 686 ตารางกิโลเมตร ในเขตอำเภอบุณฑริกอำเภอนาจะหลวย และอำเภอน้ำยืนมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาวและกัมพูชาหรือที่เรียกว่า สามเหลี่ยมมรกตพื้นที่เป็นภูเขาในเทือกเขาพนมดงรัก สภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2530
สถานที่น่าสนใจในอุทยานได้แก่
น้ำตกห้วยหลวง(ถ้ำบักเตว) อยู่เลยที่ทำการอุทยานฯไปทางใต้ 3.5 กิโลเมตรรถยนต์เข้าถึงได้ เป็นน้ำตกสูงประมาณ 50 เมตรตกลงสู่หุบเขาที่มีลักษณะเป็นอ่างน้ำขนาดเล็ก มีหาดทรายขาวและน้ำเป็นสีมรกตงดงามมากมีบันไดประมาณสองร้อยกว่าขั้น นักท่องเที่ยวสามารถลงไปชมวิวบริเวณด้านล่างได้ช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวคือระหว่างเดือนกันยายน-กุมภาพันธ์ นอกจากนี้ยังมีทางเดินเท้าจากน้ำตกห้วยหลวง ไปยังน้ำตกจุ๋มจิ๋ม หรือน้ำตกประโอนละออซึ่งเกิดจากสายน้ำที่ไหลลดระดับจากน้ำตกห้วยหลวง
สวนหินพลานยาวเป็นกลุ่มหินรูปร่างแปลกตาตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง
น้ำตกเกิ้งแม่พองอยู่ห่างจากน้ำตกห้วยหลวงไปทางใต้ประมาณ 9 กิโลเมตร ตามทางเดินป่าเป็นน้ำตกที่เกิดจากลำโดมน้อย
แก่งศิลาทิพย์ เป็นแก่งขนาดใหญ่ห่างจากที่ทำการประมาณ 3 กิโลเมตร เกิดจากลำธารห้วยหลวงไหลผ่านลานหินทรายผ่านแก่งหินหักลงเป็นขั้น จนเกิดเป็นน้ำตกขนาดเล็ก บริเวณลานหินกลางลำธารเกิดปรากฎการณ์ “กุมภลักษณ์” คือ หินเกิดเป็นช่องหลุมรูกลมขนาดเล็กใหญ่ตื้นลึกแตกต่างกันไป ตามความแรงของสายน้ำ ดูสวยงามแปลกตา
พลาญกงเกวียนลานหินกว้างที่ด้านหน้ามีกลุ่มหินลักษณะเป็นเพิงตามธรรมชาติมีดอกไม้ป่าและพันธุ์ไม้ขึ้นสลับกันเป็นหย่อมๆและนักเดินทางในอดีตได้ใช้ประโยชน์จากเพิงหินเหล่านี้ในการกำบังแดดและฝนในระหว่างการเดินทางจึงเป็นที่มาของชื่อ “พลาญกงเกวียน” พลาญ หมายถึง บริเวณที่เป็นลานกว้าง กงเกวียนเพี้ยนมาจาก พวงเกวียนที่หมายถึงประทุนเกวียนหรือกระทุนเกวียนที่เป็นสิ่งกำบังแดดบนเล่มเกวียนหรือกระทุนเกวียนที่เป็นสิ่งกำบังแดดบนเล่มเกวียนที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางในสมัยโบราณ
แก่งสามพันปีและแก่งกะเลา อยู่เลยที่ทำการอุทยานฯ ไปทางทิศใต้ 4 กิโลเมตรรถยนต์เข้าถึง เป็นจุดชมพืชพันธุ์ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
แก่งลำดวนอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม บนทางหลวงหมายเลข 2248 (น้ำยืน-นาจะหลวย)ห่างจากอำเภอน้ำยืน 14 กิโลเมตร ถึงบ้านหนองบอน มีทางแยกขวาไปอีก 2.6 กิโลเมตรเป็นน้ำตกที่ไหลมาตามธารหินซึ่งมีต้นไม้ร่มรื่นโดยเฉพาะต้นลำดวนซึ่งมีอยู่มากในบริเวณนี้ สามารถลงเล่นน้ำได้มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติผ่านถ้ำและแก่งต่าง ๆ
ภูหินด่างเป็นจุดชมวิวบนหน้าผาสูงมองเห็นทัศนียภาพป่าในเขตประเทศลาวและกัมพูชาซึ่งอยู่เบื้องล่างตามลานหินมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่แปลกจากแหล่งอื่นๆคือบนผนังหน้าผาที่เว้าเข้ามานั้นมีปื้นสีชมพูบ้าง แดงบ้างคล้ายใครเอาสีไปป้ายทาไว้เป็นภาพจิตรกรรมโดยธรรมชาติที่สวยงามซึ่งนักธรณีวิทยาอธิบายว่าเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงสภาพอากาศที่แห้งแล้วเมื่อประมาณหลายร้อยล้านปีจึงส่งผลให้มีการตกตะกอนของแร่ธาตุบางอย่างในน้ำทะเลก่อให้เกิดลักษณะทางธรณีวิทยาเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีทะเลหมอกในช่วงฤดูหนาว การเดินทางใช้เส้นทางหมายเลข2248 (บุณฑริก-นาจะหลวย) จากอำเภอบุณฑริกประมาณ 15 กิโลเมตรผ่านบ้านหนองเม็กไปจนถึงแซลำดวน ซึ่งเป็นจุดจอดรถแล้วเดินเท้าไปอีก 2 กิโลเมตร
ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่บ้านแก้งเรือง อำเภอนาจะหลวยห่างจากตัวเมืองอุบลฯประมาณ 150 กิโลเมตร การเดินทาง ไปยังอุทยานฯ มี 2 เส้นทาง คือ1.ใช้เส้นทางสายอุบลราชธานี-เดชอุดม-น้ำยืน-นาจะหลวย 140 กิโลเมตร ก่อนถึงนาจะหลวย10 กิโลเมตร มีทางแยกขวาอีก 8 กิโลเมตรและเส้นทางที่ 2. ใช้เส้นทางอุบลราชธานี-เดชอุดม-บุณฑริก-นาจะหลวย เลยนาจะหลวยไป 10 กิโลเมตรมีทางแยกซ้าย 8 กิโลเมตร
ค่าเข้าชมอุทยานฯ คนไทย ผู้ใหญ่ คนละ 40 บาท เด็กคนละ 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ คนละ 200 บาท เด็ก คนละ 100 บาท
อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอยมีบริการบ้านพักและจุดกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวแต่นักท่องเที่ยวต้องนำเต็นท์ไปเองรายละเอียดสอบถามที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร.0 2562 0760 www.dnp.go.thหรือติดต่อที่อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย ตำบลนาจะหลวย อำเภอนาจะหลวยจังหวัดอุบลราชธานี 34280
แหล่งข้อมูล: thai.tourismthailand.org
แหล่งท่องเที่ยวภาคกลาง วัดสุทัศน์เทพวราราม
วัดสุทัศน์เทพวราราม ตั้งอยู่ที่ถนนบำรุงเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชประสงค์ จะสร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับ วิหารวัดพนัญเชิง เป็นศรีสง่าแก่พระนคร ได้พระราชทานนามไว้ว่า "วัดมหาสุทธาวาส" แต่สร้างยังมิทันสำเร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสี ยก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงดำเนินงานต่อ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม" สร้างเสร็จสมบูรณ์ ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ เพราะมีสัตตมหาสถาน เป็นอุเทสิกเจดีย์ (ต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่อยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่ พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากว ิหารหลวง วัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย และบานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยมทางด้านการแกะสลัก ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระ หัตถ์ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ที่มา http://www.unseentravel.com/locate/1111-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1.html
แหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
เดินทางตามถนนห้วยแก้ว ผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ไปตามทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ระหว่างทางจะมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่อยู่เบื้องล่าง ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้เป็นปูชนียสถานคู่เมืองเชียงใหม่นับตั้งแต่โบราณกาล นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาที่จังหวัดนี้จะต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุกันทุกคน ถ้าหากใครไม่ได้ขึ้นไปนมัสการแล้ว ถือเสมือนว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่
ตามประวัติแห่งดอยสุเทพนั้นเชื่อกันว่า เดิมภูเขาแห่งนี้เป็นที่อยู่ของฤาษีนามว่า "สุเทวะ" ซึ่งตรงกับคำว่าสุเทพอันเป็นที่มาของชื่อดอยสูงแห่งนี้ โดยวัดพระธาตุดอยสุเทพนี้สร้างขึ้นเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 6 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้ทรงอัญเชิญมาจากเมืองศรีสัชนาลัย
ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้ากือนาธรรมิกราชทรงแยกพระบรมสารีริกธาตุไว้เป็นสองส่วน โดยอัญเชิญองค์หนึ่งบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสวนดอก ส่วนอีกองค์หนึ่งได้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างมงคล โดยพระเจ้ากือนาธรรมิกราชทรงตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทายว่าหากช้างเชือกนั้นหยุดลงตรงที่ใดก็จะให้สร้างพระธาตุขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งช้างเชือกดังกล่าวได้มาหยุดลงตรงยอดดอยสุเทพแห่งนี้ โดยทำทักษิณาวรรตสามรอบก่อนที่จะล้มลง (ตาย) ดังนั้นพระเจ้ากือนาธรรมิกราชจึงทรงรับสั่งให้สร้างพระบรมธาตุอันเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ ณ ยอดดอยสุเทพ อยู่คู่ฟ้าคู่ดินเชียงใหม่มานับแต่นั้น วัดพระธาตุดอยสุเทพตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ ผู้ที่เดินทางมาสักการะที่วัดแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดนาคไป 300 ขั้น เพื่อไปยังวัด หรือใช้บริการรถกระเช้าขึ้น-ลงดอยสุเทพได้ ระหว่างเวลา 05.30-19.30 น.
งานประเพณีเตียวขึ้นดอยเพื่อสักการะพระธาตุดอยสุเทพจัดเป็นประจำทุกปี โดยมีขึ้นก่อนหน้าวันวิสาขบูชา 1 คืน ในงานจะมีขบวนแห่น้ำสำหรับสรงพระธาตุโดยมีพระสงฆ์ สามเณร และพุทธศาสนิกชนจากชุมชนต่าง ๆ มาร่วมขบวนแห่ขึ้นดอยเป็นจำนวนมาก
ความเชื่อและวิธีการบูชา เชื่อกันว่าหากมาสักการะและอธิษฐานขอพรพระธาตุดอยสุเทพ จะมีแต่ความสำเร็จสมหวังดังปรารถนา แคล้วคลาด ผ่านอุปสรรคนานาไปได้ ในการสักการะพระธาตุนั้น ควรเตรียมข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียนแล้วเดินเวียนขวา 3 รอบ พร้อมกล่าวคำนมัสการพระธาตุ โดยตั้งจิตอธิษฐานขอให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา และควรไหว้พระธาตุให้ครบทั้ง 4 ทิศ ซึ่งให้อานิสงส์ที่ต่างกัน คือ ทิศเหนือขอให้มีปัญญาดุจพระจัทร์เพ็ญ ทิศใต้ ขอให้ได้เป็นพระภิกษุสงฆ์ได้บวชในบวรพุทธศาสนา ทิศตะวันออกขอให้ได้ขึ้นสวรรค์ ทิศตะวันตกเป็นการเคารพบูชาสูงสุดต่อพระธาตุ สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มานมัสการพระธาตุดอยสุเทพแล้ว ควรมากราบอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ที่ประดิษฐานอยู่ตรงเชิงดอยสุเทพเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
การเดินทาง จากตัวเมืองสามารถเดินทางโดยใช้เส้นทางผ่านหน้ามหาวิทยาลัยและสวนสัตว์เชียงใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถส่วนตัวสามารถเดินทางมาที่วัดโดยรถสองแถวประจำทางจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้านถนนห้วยแก้ว ซึ่งบริการระหว่างเวลาประมาณ 05.00-17.00 น.
สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ
ทางลาด มีทางลาดหลายจุด ส่วนใหญ่มีความชัน ควรมีผู้ช่วยเหลือผู้ที่ใช้ Wheel Chair ในการขึ้นทางลาด
ป้ายสัญลักษณ์ มีหลายจุดได้แก่ทางไปลิฟต์ ด้านหน้าลิฟต์ และบริเวณห้องส้วม
ห้องส้วม มีห้องส้วมเฉพาะสำหรับคนพิการแบบไม่แยกเพศจำนวน 2 ชุด
ลิฟต์ ทางพระธาตุดอยสุเทพจัดลิฟต์สำหรับคนพิการไว้ 1 ตัว
ราวจับ มีราวจับบริเวณบันไดและทางลาดเกือบทุกจุด
ข้อมูลจังหวัด
ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากมายในทุกจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค และเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการหาข้อมูลของนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดรวบรวมข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด แยกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ตามภูมิภาคและแบ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมเป็นพิเศษอีก รวมทั้งหมด 89 แห่ง ดังนี้
ปลายทางทั้งหมดในเมืองไทย
ภาคเหนือ:
กำแพงเพชร | ตาก | นครสวรรค์ | น่าน | พะเยา | พิจิตร | พิษณุโลก | ลำปาง | ลำพูน | สุโขทัย | อุตรดิตถ์ | อุทัยธานี | เชียงราย | เชียงใหม่ | เพชรบูรณ์ | แพร่ | แม่ฮ่องสอน |
ภาคตะวันออก:
จันทบุรี | ชลบุรี | ตราด | ปราจีนบุรี | พัทยา | ระยอง | สระแก้ว | เกาะกูด | เกาะช้าง | เกาะเสม็ด |
ภาคกลาง:
กรุงเทพมหานคร | กาญจนบุรี | ฉะเชิงเทรา | ชะอำ | ชัยนาท | นครนายก | นครปฐม | นนทบุรี | ปทุมธานี | ประจวบคีรีขันธ์ | ปราณบุรี | พระนครศรีอยุธยา | ราชบุรี | ลพบุรี | สมุทรปราการ | สมุทรสงคราม | สมุทรสาคร | สระบุรี | สิงห์บุรี | สุพรรณบุรี | หัวหิน | อ่างทอง | เพชรบุรี |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ:
กาฬสินธุ์ | ขอนแก่น | ชัยภูมิ | นครพนม | นครราชสีมา | บึงกาฬ | บุรีรัมย์ | มหาสารคาม | มุกดาหาร | ยโสธร | ร้อยเอ็ด | ศรีสะเกษ | สกลนคร | สุรินทร์ | หนองคาย | หนองบัวลำภู | อำนาจเจริญ | อุดรธานี | อุบลราชธานี | เลย |
ภาคใต้:
กระบี่ | ชุมพร | ตรัง | นครศรีธรรมราช | นราธิวาส | ปัตตานี | พังงา | พัทลุง | ภูเก็ต | ยะลา | ระนอง | สงขลา | สตูล | สุราษฎร์ธานี | หาดใหญ่ | เกาะพะงัน | เกาะพีพี | เกาะลันตา | เกาะสมุย | เกาะเต่า |
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555
สำหรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลหาดทรายขาว น้ำทะเลใส แสงแดดจัดแจ่ม และความสะดวกสบายทั้งด้านการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก บริษัทนำเที่ยว การแสดงอันเต็มไปด้วยสีสัน ฯลฯ ย่อมไม่มีใครไม่นึกถึงภูเก็ต เกาะขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศพื้นที่ประมาณ 543 ตร.กม. ของเกาะนี้โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีเขียวมรกตและมีหาดทรายขาวเนียน เหมาะแก่การพักผอ่น รวมทั้งยังเอื้อต่อการทำกิจกรรมสนุกในทะเลและริมทะเลอีกด้วย ความโดด เด่นของชายทะเลและกล่มเกาะในภูเก็ตเกิดจากภูมิประเทศที่เป็นชายฝั่งทะเลลด ตัว พื้นที่ส่วนที่ต่ำจะจมอยู่ใต้น้ำ ปรากฎเฉพาะยอดสูงเหลี่ยมล้ำเหนือผิวทะเลเป็นกลุ่มเกาะน่าเที่ยว สำหรับตัวเกาะใหญ่คือภูเก็ต นั้น ทางฝั่งตะวันตกมีลักษณ์เป็นอ่าวเว้าแหว่ง และปูลาดด้วยเม็ดทรายละเอียด เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน เป็นต้น ส่วนทางด้านตะวันออกส่วนใหญ่เป็นป่าชายเลนและหาดโคลน ขณะที่บริเวณทิศใต้มีแนวปะการังสวยงาม
นอกจากตัวเกาะใหญ่แล้ว เกาะเล็กเกาะน้อยที่ตั้งอยู่รอบๆ ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรมองข้ามเพราะมีหาดทรายขาว น้ำทะเลใสเช่นเกาะราชา เกาะเฮ เกาะมะพร้าวเป็นต้น
ไม่เพียงเพราะภูมิประเทศงดงามทำให้ภูเก็ตเติบโตเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่นี้ยังเต็มเปี่ยมด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่สั่งสมหล่อหลอมอยู่ในวิถี ชีวิตของผู้คน บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองอันยาวนานนับแต่ยุคต้นคริสตกาล ภูเก็ตซึ่งขณะนั้นมีชื่อว่า "ถลาง" เป็นเกาะที่นักเดินเรือ ซึ่งเดินทางระหว่างจีนและอินเดียรู้จักในนาม "จังซีลอน" เป็นทั้งท่าเรือและศูนย์กลางการค้า โดยมีสินค้าเด่นคือแร่ดีบุก เป็นสินทรัพย์ในดินที่สร้างรายได้ให้เมืองสืบต่อมาเนิ่นนาน
ล่วงมาสมัยรัชกาลที่ 1 ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ขึ้น เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองถลางขณะนั้นเจ้าเมืองเพิ่งถึงแก่อนิจกรรม คุณหญิงจันผู้เป็นภรรยา และคุณมุกน้องสาว จึงร่วมกันนำกำลังผู้คนรับมือกับการตีเมืองของพม่าด้วยแผนการอันแยบยล จนพม่าถอยทัพกลับไปเพระความกล้าหาญและคุณงามความดีนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้คุณหญิง จันเป็นท่านท้าวเทพกระษัตรีและคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทรปรากฎนามกระเดื่องใน ฐานวีรสตรีไทยมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อบ้านเมืองสงบ บรรยากาศของการค้าขายก็กลับมาคึกคัก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อความต้องการแร่ดีบุกของตลาดโลกเพิ่มขึ้นจนแรงงานขุดแร่ไม่เพียงพอ ถึงขนาดต้องรับคนจีนที่ทำเหมืองแร่อยู่ในปีนังและสิงคโปร์มาเป็นคนงาน ยุคนั้นเองที่ชาวจีนฮกเกี้ยนได้เข้ามาตั้งรกรากในภูเก็ต มีการสร้างที่อยู่อาศัยในรูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียลและตกแต่งรายละเอียด ด้วยศิลปะจีนอันเป็นเอกลัษณ์ของภูเก็ตเช่นที่เห็นทุกวันนี้
มาเยือนภูเก็ต แล้วคุณจะรู้ว่าเกาะแห่งนี้เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและทรัพยากรธรรมชาติที่มากมาย ทั้งบนดินและใต้น้ำรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสารพันที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ที่มา http://thai.tourismthailand.org/where-to-go/cities-guide/destination/phuket/
นอกจากตัวเกาะใหญ่แล้ว เกาะเล็กเกาะน้อยที่ตั้งอยู่รอบๆ ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรมองข้ามเพราะมีหาดทรายขาว น้ำทะเลใสเช่นเกาะราชา เกาะเฮ เกาะมะพร้าวเป็นต้น
ไม่เพียงเพราะภูมิประเทศงดงามทำให้ภูเก็ตเติบโตเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่นี้ยังเต็มเปี่ยมด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่สั่งสมหล่อหลอมอยู่ในวิถี ชีวิตของผู้คน บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองอันยาวนานนับแต่ยุคต้นคริสตกาล ภูเก็ตซึ่งขณะนั้นมีชื่อว่า "ถลาง" เป็นเกาะที่นักเดินเรือ ซึ่งเดินทางระหว่างจีนและอินเดียรู้จักในนาม "จังซีลอน" เป็นทั้งท่าเรือและศูนย์กลางการค้า โดยมีสินค้าเด่นคือแร่ดีบุก เป็นสินทรัพย์ในดินที่สร้างรายได้ให้เมืองสืบต่อมาเนิ่นนาน
ล่วงมาสมัยรัชกาลที่ 1 ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ขึ้น เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองถลางขณะนั้นเจ้าเมืองเพิ่งถึงแก่อนิจกรรม คุณหญิงจันผู้เป็นภรรยา และคุณมุกน้องสาว จึงร่วมกันนำกำลังผู้คนรับมือกับการตีเมืองของพม่าด้วยแผนการอันแยบยล จนพม่าถอยทัพกลับไปเพระความกล้าหาญและคุณงามความดีนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้คุณหญิง จันเป็นท่านท้าวเทพกระษัตรีและคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทรปรากฎนามกระเดื่องใน ฐานวีรสตรีไทยมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อบ้านเมืองสงบ บรรยากาศของการค้าขายก็กลับมาคึกคัก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อความต้องการแร่ดีบุกของตลาดโลกเพิ่มขึ้นจนแรงงานขุดแร่ไม่เพียงพอ ถึงขนาดต้องรับคนจีนที่ทำเหมืองแร่อยู่ในปีนังและสิงคโปร์มาเป็นคนงาน ยุคนั้นเองที่ชาวจีนฮกเกี้ยนได้เข้ามาตั้งรกรากในภูเก็ต มีการสร้างที่อยู่อาศัยในรูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียลและตกแต่งรายละเอียด ด้วยศิลปะจีนอันเป็นเอกลัษณ์ของภูเก็ตเช่นที่เห็นทุกวันนี้
มาเยือนภูเก็ต แล้วคุณจะรู้ว่าเกาะแห่งนี้เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและทรัพยากรธรรมชาติที่มากมาย ทั้งบนดินและใต้น้ำรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสารพันที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ที่มา http://thai.tourismthailand.org/where-to-go/cities-guide/destination/phuket/
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)