Jack Jack ..

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


:: เกาะมุกด์และถ้ำมรกต ::
ลักษณะส่วนใหญ่ของเกาะมุกด์เป็นโขดผาสูงตระหง่านหน้าผาเหล่านี้ เป็นที่อาศัยของ นกนางแอ่น และได้ซุกซ่อนถ้ำมรกตหรือถ้ำน้ำ ซึ่งมี ความงดงามตระการตา ไว้อย่างมิดชิดถ้ำมรกตนี้ จะเข้าออก ได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น โดยปากถ้ำเป็นโพรงเล็ก ๆ สูงพ้นระดับน้ำพอเรือลอดได้ เมื่อลอดเข้าไป แล้วจะเป็น เส้นทางคดโค้งระยะทางประมาณ 80 เมตร ก่อนจะออกมาเจอปากถ้ำอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็น หาดทรายขาวสะอาด ล้อมรอยด้วยหน้าผาสูงชันเกาะเชือก อยู่ระหว่างเกาะมุกด์ และเกาะไหง ใต้ทะเล ที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง เกาะกระดานชายหาด มีทรายขาวละเอียด เหมือนแป้ง และน้ำใส จนมองเห็น แนวปะการังซึ่งทอดยาวจากชายหาดด้านเหนือถึงชายฝั่ง และมีฝูงปลาหลากสี แหวกว่ายอย่างสวยงาม สำหรับผู้นิยม การโต้คลื่นด้านหลังเกาะมีอ่าวเล็ก ๆ ที่มีคลื่นลูกโต ๆ สาดม้วน เข้าหาหาดเป็นระลอก ๆ เกาะกระดานอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะมุกด์และเกาะลิบง ใช้เวลาเดิน ทางจากปากเมงเกือบ 2 ชั่วโมง ฤดูท่องเที่ยวอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤษภาคม
ที่มา  
http://www.hotelsthailand.com/south/trang/places.cfm

:: เขื่อนอุบลรัตน์ ::
เรียกอีกชื่อว่า "เขื่อนพองหนีบ" เนื่องจากสร้างข้ามแม่น้ำพองโดย ปิดกั้นลำน้ำพองตรง บริเวณช่องเขา ที่เป็นแนวต่อระหว่าง เทือกเขาภูเก้าและภูพานคำการก่อสร้างเริ่มเมื่อปลายปี พ.ศ. 2506 แล้วเสร็จปลายปี พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้ว ยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ ได้เสด็จไปทรงทำพิธีเปิดเขื่อน เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2509 เป็นเขื่อนเอนกประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายทั้งการ ผลิตกระแสไฟฟ้า การเกษตร การประมง การป้องกันอุทกภัย การคมนาคม ตลอดไปจนถึงเป็นที่สำหรับพัก ผ่อนหย่อนใจ ภายในบริเวณมีร้านอาหารมากมายหลายประเภท ตั้งแต่อาหารตามสั่งไปจนถึงส้มตำ แต่ อาหารจานเด็ดก็คือปลานิลซึ่งจับได้ภายในเขื่อนนั่นเอง นำไปประกอบอาหารได้สารพัดประเภท เช่น ปลานิล ชุบเกลือย่าง ต้มยำปลานิล นั่งปูเสื่อรับประทาน แบบสบายๆ เข้ากับบรรยากาศ อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนอุบลรัตน์มีพื้นที่ถึง 256,000 ไร่ เป็นแหล่งผลิตปลาและสัตว์น้ำจืดแหล่งใหญ่ ของ ภาคอีสานแห่งหนึ่ง ช่วงสายของทุกวันที่นี่จะจอแจด้วยรถบรรทุกขนาดเล็กจากจังหวัดขอนแก่น และ จังหวัดใกล้เคียงจอดรอคัดปลาอยู่บริเวณท่าปลา ที่นั่นมีกิจการโรงน้ำแข็งท้องถิ่นสำหรับแช่ ปลาสดกลับไป นอกจากนั้นยังมีปลาร้าซึ่งส่วนใหญ่ทำจากปลาขาวนำมาบรรจุไหมาวางเรียงราย ขายกันอยู่ด้วย ที่เขื่อนมีบ้านพักบริการ และมีเรือให้เช่าชมทิวทัศน์โดยคิดค่าบริการลำละ 600 บาท สอบถามราย ละเอียดเพิ่มเติมที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ทำการเขื่อนอุบลรัตน์ โทร. (043) 446231 การเดินทางไปชมเขื่อนไปได้ตามทางหลวงหมายเลข 2 (ขอนแก่น - อุดรธานี) ห่างจากขอนแก่น 26 กิโลเมตร ถึงหลักกิโลเมตรที่ 470 - 471 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าสู่เขื่อนอุบลรัตน์อีก 24 กิโลเมตร รวมระยะทางห่างจากตัวเมือง 50 กิโลเมตร
ที่มา  http://www.hotelsthailand.com/northeast/khonkhan/places.cfm

:: พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ::
ตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก ที่ตำบลห้วยเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ตรงหลักกิโลเมตรที่ 216 เลยหาดชะอำมา เล็กน้อย เป็นพระตำหนักที่ประทับริมทะเล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้า สำราญมาปลูกขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2466 ได้รับขนานนามว่า "พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง" ลักษณะเป็น พระตำหนักไม้สองชั้น หันหน้าออกสู่ทะเล พระตำหนักฝ่ายในอยู่ปีกขวา ทางปีกซ้ายเป็นส่วนของฝ่ายหน้า ประกอบด้วย พระที่นั่งสามองค์ เชื่อมต่อถึงกันโดยตลอด พระที่นั่งสุนทรพิมาน เป็นที่ประทับของพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจีพระวรชายา พระที่นั่งพิศาลสาครเป็นที่ประทับ ของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหมู่พระที่นั่งตรงกลางประกอบด้วยห้องต่างๆ สำหรับ สำราญพระอิริยาบถ ห้องพักข้าราชบริพารที่คอยรับ ใช้ใกล้ชิด ห้องทรงพระอักษร และพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์เป็น อาคารโถงสองชั้นเปิดโล่งใช้เป็นที่ประชุมในโอกาสต่างๆ และเป็นโรงละคร ซึ่งเคยจัดแสดงละครครั้งสำคัญ 2 ครั้ง คือ เรื่องพระร่วง และวิวาห์พระสมุทร

ในปี พ.ศ.2484 เจ้าพระยารามราฆพ ได้สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายเป็นพระราชานุ สรณ์ประดิษฐานไว้ ณ ท้องพระโรงพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน และได้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย เป็นพระราช สักการะ เนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นประจำทุกปี

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 - 16.00 น. สำหรับผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะ ต้องทำ หนังสือถึงผู้กำกับการกองบังคับการฝึกพิเศษ ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โทร. (032) 471388 , 471130
ที่มา  
http://www.hotelsthailand.com/central/petchaburi/places.cfm

::: ภูโคลนคันทรี่คลับ ::
เป็นแหล่งค้นพบโคลนจากน้ำพุร้อน นับเป็นหนึ่งในสามแหล่งของโลกที่มีการค้นพบโคลนที่นำมาใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพความงามให้กับผิวพรรณของเรา นอกเหนือจากโคลนใต้ทะเล dead sea และโคลนภูเขาไฟ เนื่องจากมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น แคลเซียม ที่ช่วยปรับความสมดุลย์ของผิว โบรไมด์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค แมกนีเซียมช่วยเสริมสร้างและช่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เป็นต้น เป็นแหล่งที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ภูโคลน ให้บริการในรูปแบบของแนเชอรัลสปา และมีสระน้ำแร่ธรรมชาติ สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0 5361 2265, 0 6198 0722 หรือ http://www.pooklon.com 

การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1095 สายแม่ฮ่องสอน - ปาย ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายไปตามถนนเข้าหมู่บ้านกุงไม้สัก - บ้านห้วยนาขานอีก 4 กิโลเมตรจะพบภูโคลนอยู่ทางขวามือ


: บ้านน้ำเพียงดิน ::
อยู่ในเขตตำบลผาบ่อง เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือตามลำน้ำปาย ผ่านบ้านห้วยเดื่อไปจนถึงบ้านน้ำเพียงดินโดยเรือหางยาว ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางที่ล่องเรือไปตามลำน้ำจะผ่านระลอกน้ำ ที่ลดระดับลดหลั่นกันไปคล้ายธารน้ำตกนับเป็นทัศนียภาพที่งดงามแปลกตา จุดเด่นของบ้านน้ำเพียงดิน คือ วิถีชีวิตของชาวปากด่อง ( กะเหรี่ยงคอยาว )

การเดินทาง จากเมืองแม่อ่องสอนเลี้ยงขวาตรงโรงแรมอิมพีเรียลธาราแม่ฮ่องสอน ตามเส้นทางไปโป่งแดงประามณ 14 กิโลเมตร ก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำปายให้แยกซ้ายไปตามแม่น้ำ จะเห็นเรือหางยาวบริการไปบ้านน้ำเพียงดิน หรือจะขับรถไปสุดทางเพื่อลงเรือที่บ้านห้วยเดื่อก็ได้ ใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ1 ชั่วโมง ค่าโดยสารเหมาลำประมาณ 500 - 700 บาท นั่งได้ 8 คน ติดต่อท่าเรือบ้านห้วยเดื่อ โทร 0 5368 4160

นอกจากนี้ ยังมีหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวอีก 2 แห่ง ได้แก่ " บ้านในสอย " ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน 33 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 1095 ไปทางอำเภอปางมะผ้า ผ่านบ้านปางหมู ข้ามสะพานแม่น้ำปาย บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 199 แยกซ้ายมือไปตามถนน รพช. 1 กิโลเมตร เพื่อพบสามแยกให้เลี้ยวซ้ายไปทาง รพช. สายบ้านในสอยอีก 17 กิโลเมตร บ้านกะเหรี่ยงคอยาวจะอยู่เลยบ้านในสอยไปประมาณ 3 กิโลเมตร ทางช่วงนี้เป็นลูกรังควรใช้รถกระบะ

อีกหมู่บ้านหนึ่ง คือ"บ้านห้วยเสือเฒ่า"อยู่ใกล้กับตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เดินทางจากตัวเมืองไปทางอำเภอขุนยวม ผ่านหน้าศาลากลาง ถึงแยกไฟแดงซ้ายมือจะมีป้อมตำรวจเล็กๆ ตรงมุมให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 12 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านห้วยเสือเฒ่า ถนนเป็นคอนกรีต แต่ในอนาคตจะนำกะเหรี่ยงคอยาวทั้ง3 หมู่บ้านนี้มาร่วมด้วยกัน

สอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยว จังหวัดแม่ฮ่องสอน โทร 0 5361 2982 - 3

ที่มา  http://www.hotelsthailand.com/north/maehongson/places.cfm



Phuket


What comes into the mind of travellers when we talk about sea, sun and sand? Phuket must definitely be one of the answers. Especially when we think about the island in which there is plenty of accommodation and all kinds of facilities. In addition, a number of various activities can also be found on this island.
In the early Christian Era, the cape of Phuket was locally referred to as Jung Ceylon, while locals called it Thalang, which evolved to Thanlng the name of the main town to the north of the island. As the perfect stopover sheltering traders from monsoons, Jung Ceylon welcomed merchants from India, Persia, Arabia, Burma, China and aslo Siam. During the 16th century, the island was also a popular trading port for tin. In 1785, Thaland town was surrounded by Burmese troops who invaded the coastal area. It was under the leadership of Chan, the widow of the governor, and her sister, Muk, who united the local resedents and successfully fought and drove the invaders out of Phuket. It took over 30 days for the defending troops of Phuket, under the command of Chan and Muk, to claim their victory. As a result of such heroic deeds, noble titles were granted to Chan and Muk as 'Thao Thep Krasattri and Thao Sri Soonthorn, repectively. There are still hightly respected by Phuket residents even today.
When the city was in a peaceful state, the development of mining was so unprecedented. Chinese businessmen and miners later migrated to Phuket and soon enjoy thriving weath. The island's long history has shaped the distintive Phuket of the present with its diverse ethnic groups, culture, architectural influence, and fine cuisine. Phuket has a lot more to offer its visitors than its natural heritage of sea, sand, sky beach, forest, and world renowned diving sites. Sino-Portuguese architecture casts its spell delighting travellers to the city, while Phuket style of hospitality has never failed to impress visitors from all walk of life.
Getting to Know:
1. Phuket is located approximately 862 kilometres south of Bangkok.
2. There are only two seasons in a year the green season ( May to October) and the hot season (November
to April)
3. Phuket is divided into 3 adminstrative districts: namely, amphoe Mueng, Amphoe Thaland and Ampho
เข้าสู่วันที่สองกับสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงรายวันนี้ผมมีแผนเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ สามแห่งด้วยกันคือ แม่สาย พระตำหนักดอยตุง พระธาตุดอยตุง และชมสวนในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งวันนี้ขอหยิบยกสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมประทับใจในความงามและสดชื่นตามธรรมชาติมาเล่าให้ฟังกัน วันที่สองของการเดินทางเริ่มต้นด้วยการเดินทางข้ามชายแดนแม่สายไปสถานที่ท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยสินค้าราคาถูกในฝั่งพม่า กว่าจะเดินท่องเที่ยวและซื้อของกันครบก็ประมาณบ่ายโมงแล้ว ผมจึงเดินทางมาที่พระตำหนักดอยตุงทางขึ้นเขาค่อนข้างจะคดเคี้ยวพอสมควรกว่าจะถึงก็ราว ๆ บ่ายสองโมงครึ่ง ถ้าเป็นสถานที่ในกรุงเทพเวลาบ่ายสองโมงนี่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่แดดแรงมาก แต่บนพระตำหนักดอยตุงนี้อากาศแสนจะสดชื่นเย็นสบาย...


ที่มา   http://siamtips.blogspot.com/

ผ่านไปผ่านมาอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแฟรงค์เฟิร์ตหรือมิวมิค ก็เพียงแค่เปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางไปเยือนยลประเทศอื่นในทวีปยุโรปเท่านั้น จึงได้เพียงแค่สบตากับเยอรมันจากช่องหน้าต่างของเครื่องโบอิ้งแต่เพียงอย่างเดียว ในใจก็คิดไปว่า ประเทศนี้ทำไมดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจังเลย เมื่อมองจากมุมสูง โดยเอาสายตาเล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างที่เค้าให้ปิดขณะเครื่องจะลงจอด เลยแอบแลเห็นบ้านเรือนถูกจัดวางแปลนอย่างมีระบบ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่พ่อหนวดแปะจมูกที่ชอบยกมือขวาทิ้งไว้ให้ เดี๋ยวมีโอกาสเถอะ จะขอเข้าไปกระแซะหาคำตอบกันหน่อย ว่าจะสวยเหมือนอย่างที่มองผ่านเลนส์รึเปล่า



แล้วโอกาสทองก็มาถึง เมื่อเครื่องแลนด์ดิ้งที่แฟรงค์เฟิร์ตอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องโยกย้ายส่ายสะโพกไปที่ไหนอีก เพราะตั้งใจกลับมากระแซะเยอรมันแบบเต็มตัว ด้วยความใคร่รู้และชอบเที่ยว ขอพักสักหน่อย แล้วจะเริ่มสตาร์ทริปนี้ให้ถึงใจเลยเชียว ประเทศเยอรมนี หรือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางของทวีปยุโรป มีกรุงเบอร์ลินเป็นเมืองหลวง และถูกล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ทางทิศเหนือติดกับเดนมาร์ก ทิศตะวันตกติดกับเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และฝรั่งเศส ทิศใต้ติดกับสวิสเซอร์แลนด์ และออสเตรีย ทิศตะวันออกติดกับเชคและโปแลนด์ นับว่าเป็นประเทศที่มีเพื่อนบ้านเยอะทีเดียว เยอรมันนับว่าเป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์ที่ครบครัน ทั้งเทือกเขาสูงต่ำ ทะเลสาป ที่ราบโล่งกว้าง แม่น้ำ รวมถึงชายฝั่งทะเล และเกาะแก่งน้อยใหญ่ ส่วนลักษณะอากาศ จัดว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีอากาศที่หนาวเย็น จะอบอุ่นขึ้นบ้างก็ในฤดูใบไม้ผลิคือช่วงเดือน มีนาคมถึงพฤษภาคม และฤดูร้อนช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม



เยอรมันเป็นประเทศที่มีสังคมเปิด คือ ยอมรับผู้คนที่อพยพมาจากถิ่นอื่นเพื่อเข้ามาตั้งรกราก และผู้อพยพหนีสงคราม ทั้งยังเปิดเสรีสำหรับผู้ใช้แรงงาน จึงทำให้เป็นประเทศที่มีการรวมประชากรจากหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ซึ่งเยอรมันมีเมืองใหญ่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย มาเริ่มตะลุยกันที่เมืองที่มีชื่อหอมฟุ้งอย่างโคโลญจ์กันดีกว่า Cologne (โคโลญจ์) ชาวเยอรมันออกเสียงว่า "เคิล์น" เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศเยอรมัน ชื่อเมืองมีที่มาอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คือสมัยก่อนเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตน้ำหอมที่เรียกว่า ออดิโคโลญจ์ ยี่ห้อ 4711 ซึ่งเป็นของฝากอันขึ้นชื่อของเมืองโคโลญจ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นเอง และสิ่งที่เป็นมรดกโลกสุดอลังการอย่าง เคิล์นโดมก็ตั้งอยู่ที่เมืองนี้ ฉะนั้น ต้องตามติดไปรู้ประวัติกันหน่อย



Cologne Cathedral หรือ Kolner Dom (มหาวิหารโคโลญจ์) เป็นมหาวิหารที่มีสถาปัตยกรรมแบบโกธิก ซึ่งเป็นศาสนสถานของคริสตศาสนาโรมันคาทอลิก สร้างเพื่ออุทิศให้นักบุญปีเตอร์และพระแม่มารี โดยก่อสร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1791 โดยใช้เวลาการก่อสร้างกว่าหกร้อยปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สองอีก เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และใกล้จุดยุทธศาสตร์ จนต้องทำการบูรณะใหม่หลังสงครามยุติ ปัจจุบันได้ถูกบันทึกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2536 มหาวิหารโคโลญจ์ มีขนาดสูงเป็นอันดับสองของยุโรป คือเป็นหอคอยแฝดสูง 157 เมตร กว้าง 86 เมตร และยาว 144 เมตร รองจากมหาวิหารอูล์ม ที่ตั้งอยู่ในเมืองอูล์ม ประเทศเยอรมันเช่นกัน เมืองโคโลญจ์ ยังมีเสน่ห์ที่สามารถฉุดฉันให้อยู่ต่อได้อีก เพราะถ้ามาเที่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายน แน่นอนว่าจะต้องได้ร่วมฉลองเทศกาลใหญ่อย่าง เทศกาลคานิวาล แน่นอน เพราะเป็นสีสันที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศให้มาร่วมงานรื่นเริงนี้ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 11 เดือน 11 เวลา 11 นาฬิกา 11 นาที และ 11 วินาที ของทุกปีจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเวลานี้ทั่วทั้งเมืองโคโลญจ์จะสนุกสนานรื่นเริงกับการแสดงดนตรี วงโยธวาทิต การเต้นรำ การแต่งกายแบบแฟนซี และขบวนแห่ การกินดื่ม สรวนเสเฮฮากัน เรียกว่ามันส์แบบยาวนานหลายเดือนเลย แต่จะให้สุดเหวี่ยงก็ต้องวันแรกกับวันสุดท้ายของงานนี่สิเด็ดสุด ร้อง เล่น เต้นรำ กันทั้งวันทั้งคืนให้หมดแรงกันไปข้างเลย



พักความหอมฟุ้งแห่งเมืองโคโลญจ์ ด้วยการเอาเท้าไปแช่น้ำอุ่นสักเดี๋ยว ก่อนอาบน้ำอาบท่า แล้วไปหาอะไรกินก่อนเข้านอน พรุ่งนี้จะขอออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกของเยอรมัน ส่วนจะไปกระแซะเมืองใดนั้น ต้องเขยิบไปต่อกันที่ตอนสอง

Written by Omyim

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม

แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต



สวนผึ้ง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดราชบุรี ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ภูเขา และน้ำตก พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบสูง ภูมิประเทศของสวนผึ้งนั้นขนาบด้วยเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งเป็นพรมแดนทางตะวันตกกั้นระหว่างประเทศไทยกับพม่า การเดินทางสะดวก ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงกว่า ๆ จากกรุงเทพฯ ก็ถึงแล้ว


สถานที่ท่องเที่ยวมีความหลากหลาย ทั้งจากธรรมชาติสร้างและฝีมือมนุษย์รังสรรค์ ที่สำคัญมาเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะหน้าหนาวอากาศจะดีมาก ๆ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจก็มีอยู่มากมายหลายแห่ง เช่น โป่งยุบ เป็นการยุบตัวของพื้นดินที่มีลักษณะเป็นหลุม มีความลึกประมาณ 3-5 เมตร เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก, บ้านเทียนหอม หนึ่งในของที่ระลึกที่ไม่ซื้อไม่ได้ถ้าไปถึงสวนผึ้งก็คือ เทียนหอมสารพัดลวดลายหลากหลายสีสัน แถมยังมีร้านเสื้อเพ้นท์สดลวดลายสวยงามน่ารัก ใส่แล้วไม่ซ้ำใครแน่นอนเพราะเค้าเพ้นท์มาแบบละตัวเท่านั้น


ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ลักษณะเป็นลำธารเล็ก ๆ มีน้ำไหลซึมออกมาจากตาน้ำใต้ดินไม่ขาดสาย มีน้ำไหลตลอดปี อุณหภูมิของน้ำจะประมาณ 65 องศาเซลเซียส ไม่ร้อนมากพอที่จะต้มไข่สุกได้, น้ำตกเก้าชั้น หรือ น้ำตกเก้าโจน มีทั้งหมด 14 ชั้น แต่สามารถเที่ยวได้เพียง 9 ชั้นเท่านั้น ในฤดูฝนจะมีน้ำมาก หินบริเวณน้ำตกชั้นต่าง ๆ เป็นหินแกรนิต มีจุดกางเต้นท์ให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ด้านบน และสวนผึ้งออร์คิด ใครชอบกล้วยไม้ไม่ควรพลาด เพราะเป็นศูนย์รวม แวนด้า แอสโดเซนด้า ลูกผสมหลากสี สวยงาม มีให้เลือกกันอย่างมากมาย ชอบต้นไหนก็ซื้อกลับบ้านได้เลย ราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยยันหลักพัน


ที่มา http://travel.kapook.com/view35258.html

เกาะปิดะนอก-เกาะปิดะใน, จังหวัดกระบี่

เกาะปิดะนอก-เกาะปิดะใน

เกาะปิดะนอก เป็นเกาะขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของเกาะปิดะใน ในระยะห่างจากเกาะปิดะในประมาณ 500 เมตร เป็นเกาะคู่ของเกาะปิดะในคล้ายภูเขาโดดกลางทะเล ความลึกของน้ำทะเลโดยรอบเกาะมีความลึกประมาณ 15-20 เมตร ใต้ผิวน้ำทะเลด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันออกและด้านทิศใต้ปกคลุมไปด้วยแนวปะการังที่ก่อตัวอย่างหนาแน่น ปะการังมีสภาพสมบูรณ์ดี ประกอบด้วยปะการังถ้วย ปะการังกิ่ง ปะการังก้อน กัลปังหา ฟองน้ำที่ชุกชุมไปด้วยปลาสวยงามนานาชนิด


เชียงใหม่ ติดอันดับ 8 สถานที่ฉลองครบรอบแต่งงาน

          สำนักข่าวต่างประเทศจัดอันดับ สุดยอด 10 สถานที่ฉลองครบรอบแต่งงาน โดยมีจังหวัดเชียงใหม่ ของประเทศไทย ติดอยู่ในอันดับ 8
          เป็นที่น่าภาคภูมิใจอีกครั้ง เมื่อประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 สถานที่ที่เหมาะกับการฉลองครบรอบแต่งงาน โดยจังหวัดเชียงใหม่ ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งนอกจากจะเหมาะแก่การฉลองครบรอบแต่งงานแล้ว เชียงใหม่ยังถูกจัดให้เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการมาเป็นอาสาสมัคร ทั้งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สอนพระสงฆ์พูดภาษาอังกฤษ หรือแม้กระทั่งปรับปรุงอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ รวมทั้งช่วยเหลือช้างอีกด้วย และที่สำคัญคือ คนไทยยังมีเสน่ห์เป็นที่น่าประทับใจ มีอาหารพื้นบ้าน และสถาปัตยกรรมที่งดงาม เป็นเอกลักษณ์
          และเชียงใหม่ ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ที่มีความงดงาม และเป็นโบราณสถานแห่งชาติ นอกจากนี้วัฒนธรรมความอ่อนช้อย และความมีน้ำใจของผู้คนในเมืองเชียงใหม่ ก็เป็นสิ่งที่หนึ่งชาวต่างชาติประทับใจ และยังมีไร่องุ่น น้ำพุร้อน รวมถึงการขี่ช้างเดินชมธรรมชาติให้คู่รักได้ลองสัมผัสด้วยเช่นกัน และนอกจากจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ยังมีสถานที่ต่าง ๆ อีก 9 แห่ง ทั่วโลก ที่ติดอันดับด้วยเช่นกัน ดังนี้

    1. สาธารณะรัฐ โดมินิกัน
          ถูกจัดให้ติดอันดับที่ 1 เพราะเป็นสถานที่ฉลองครบรอบแต่งงานสุดประหยัด ที่มีแพคเกจท่องเที่ยว และ ที่พักราคาไม่แพง และผู้คนไม่พลุกพล่าน
    2. โซโมนา รัฐแคลิฟอร์เนีย
          เป็นสถานที่สุดโรแมนติก ที่เขาบอกว่าเหมาะแก่การผลิตทายาทสุด ๆ มีทั้งโรงแรมสุดหรู สปาสุดผ่อนคลาย และยังมีร้านอาหารที่การันตีความอร่อยด้วยดาวมิชลินอีกด้วย
    3. โปซิตาโน อิตาลี
          มีทั้งไวน์เลิศรส อาหารชั้นเยี่ยม หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ และบรรยากาศเหมาะสำหรับคู่รักเป็นที่สุด
    4. ควีนส์ทาวน์ นิวซีแลนด์
          สำหรับคู่รักที่หลงใหลในการผจญภัย ที่นี่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งทะเลสาบ จุดเล่นสกี สโนว์บอร์ด ขี่ม้า บันจี้จัมพ์ เดินป่า หรือ ล่องแพ เรียกว่าเป็นสวรรค์ของนักผจญภัยโดยแท้
    5. ลาสเวกัส เนวาดา
          มี โบสถ์ วีว่า ลาสเวกัส รอให้ไปแลกคำสัญญา ปฏิญาณรัก กันใหม่อีกรอบ พร้อม ๆ กับรำลึกถึงนักร้องร็อค แอนด์ โรล คนดัง เอลวิส เพรสลีย์
    6. มอมบาซา เคนยา
          เขตมอมบาซาอยู่ริมขอบมหาสมุทรอินเดีย มีวัฒนธรรมแอฟริกันที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งมีทัวร์ซาฟารีให้เที่ยวชมป่าและสัตว์ต่าง ๆ แบบธรรมชาติ
    7. เอดินเบิร์ก สกอตแลนด์
          มีรีสอร์ทสำหรับตีกอล์ฟ ทัวร์โรงกลั่นวิสกี้ ฉลองครบรอบกันด้วยวิสกี้รสชาติเยี่ยม ทั้งยังมีเมืองมรดกโลก และหอศิลป์แห่งชาติสกอตแลนด์อีกด้วย
   8. เชียงใหม่ ประเทศไทย
          เป็นสถานที่สำหรับคู่รักที่ต้องการรมาเป็นอาสาสมัคร และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้คู่รักได้มาเรียนรู้วัฒนธรรม รสชาดอาหาร และสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ร่วมกัน นับว่าเป็นการฉลองครบรอบแต่งงานที่เก๋ไปอีกแบบเลยล่ะ
   9. โบราโบรา ฝรั่งเศส
          ชายหาดที่ทุกคนใฝ่ฝัน บังกะโลสวย บนน้ำทะเลใส ๆ กับวิว 360 องศา และการบริการระดับพรีเมี่ยม ในสถานที่สุดหรู
   10. พาราไดซ์ ไอส์แลนด์ บาฮามาส
          เกาะสวรรค์ที่บาฮามาส คือ ดินแดนแห่งความสุข ที่ประหยัดกว่าโบราโบรา ดำน้ำกับปลาโลมา ตีกอล์ฟ อาบแดด และผจญภัยริมชายหาด
ที่มา......http://travel.kapook.com/view40293.html

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

แหล่งท่องเที่ยว ภาคตะวันตก อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม


อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดหลวงตำบลวังเย็น อยู่ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรีประมาณ 20 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯไปตามถนนเพชรเกษม จนถึงสี่แยกบางแพลัวไปทางเส้นทางสายบางแพ-ดำเนินสะดวก ภายในอุทยานฯบนเนื้อที่กว้างกว่า 42 ไร่ ธรรมชาติร่มรื่น สามารถเดินชมจุดต่างๆในอุทยานได้อย่างร่มเย็น เช่น อาคารเชิดชูเกียรติจัดแสดงรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสบุคคลสำคัญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิครูมนตรี ตราโมท, ม.ล.ปิ่น มาลากุล, แม่ชีเทเรซ่า, ประธานาธิบดีเติ้งเสี่ยวผิง, ประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุง เป็นต้น, ลานพระ 3 สมัยเป็นลานแสดงประติมากรรมพระพุทธรูป 3 สมัยหล่อด้วยทองเหลืองและรมดำ, ถ้ำชาดกจัดแสดงเกี่ยวกับพระชาติสุดท้ายของพระเวสสันดรชาดกเนื่องการให้ทาน, กุฏิพระสงฆ์หมู่เรือนไทยเป็นที่ประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งพระสุปัฏิปันโนเลื่องชื่อทั่วไทย, บ้านไทย๔ ภาค, น้ำตกจำลองและลานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เปิดให้เข้าชมทุกวัน วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 - 16.00 น.เสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เวลา 08.30 - 17.00 น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่200 บาท เด็ก 100 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 3238 1401-3 โทรสาร 0 3238 1403 www.scppark.com การเดินทาง รถประจำทางปรับอากาศชั้น ๒ สายกรุงเทพฯ-ดำเนินสะดวกจากขนส่งสายใต้มาลงที่หน้าวัดหลวงแล้วข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจะถึงอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม หมายเหตุ - มีทางลาดเข้าอาคารเกือบทุกอาคาร สำหรับผู้ใช้ wheel chair ไม่สามารถเข้าบางอาคารได้ - มีห้องสุขาสำหรับคนพิการ ข้อมูลจาก: thai.tourismthailand.org
แหล่งท่องเที่ยวภาค ตะวันออก แก่งหินเพิง
แก่งหินเพิง ตั้งอยู่ที่ตำบลสะพานหิน อำเภอนาดี เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ที่สวยงามอยู่ในลำน้ำใสใหญ่ อยู่ในเขตความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 9 (ใสใหญ่) หรือ ขญ. 9 อำเภอนาดี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ที่เหมาะแก่การล่องเรือยางที่ท้าทาย และสนุกสนาน ในช่วงฤดูฝนราวเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน เป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำหลาก ล้นแก่ง และไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ เหมาะสำหรับการล่องแก่งหินเพิง หากพ้นช่วงฤดูฝนไปแล้วแก่งหินเพิงนี้จะกลายเป็นลานโขดหินกว้างใหญ่ การล่องแก่งหินเพิงจะผ่านแก่งต่าง ๆ ได้แก่ แก่งหินเพิง แก่งวังหนามล้อม แก่งวังบอน แก่งลูกเสือ แก่งวังไทร แก่งงูเห่า การล่องใช้แพยางนั่งประมาณ 8-10 คน ผู้ประกอบการจะพานักท่องเที่ยวเดินป่าไปยังต้นน้ำ ระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที จากนั้นจะเริ่มล่องแก่งมายังจุดสุดท้ายบริเวณ ขญ. 9 ระยะเวลาในการล่องแก่งประมาณ 20 นาที นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อบริษัทนำเที่ยวที่จัดกิจกรรมล่องแก่งหินเพิง และสามารถพักค้างแรมแบบแค้มปิ้ง หรือพักรีสอร์ทในเขตอำเภอนาดีก็ได้ ที่มา http://www.unseentravel.com/locate/280-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%87.html
แหล่งท่องเที่ยวภาคใต้ หาดตะโละกาโปร์
หาดตะโละกาโปร์ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามูตามสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาด รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี เคยประกวดแหล่งท่องเที่ยว 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ได้ที่ 2 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี 2529 หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล มีเรือกอและของชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก หาดทรายแห่งนี้งอกยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะเกิดจากกระแสน้ำพัดเอาตะกอนทรายมาทับถมพอกพูน เหมาะแก่การไปนั่งพักผ่อนชมความสวยงาม มีทิวสนและต้นมะพร้าวให้ความร่มรื่นสวยงาม ข้อมูลจาก : teawtourthai.com
แหล่งท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย
มีพื้นที่ประมาณ 686 ตารางกิโลเมตร ในเขตอำเภอบุณฑริกอำเภอนาจะหลวย และอำเภอน้ำยืนมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาวและกัมพูชาหรือที่เรียกว่า สามเหลี่ยมมรกตพื้นที่เป็นภูเขาในเทือกเขาพนมดงรัก สภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2530 สถานที่น่าสนใจในอุทยานได้แก่ น้ำตกห้วยหลวง(ถ้ำบักเตว) อยู่เลยที่ทำการอุทยานฯไปทางใต้ 3.5 กิโลเมตรรถยนต์เข้าถึงได้ เป็นน้ำตกสูงประมาณ 50 เมตรตกลงสู่หุบเขาที่มีลักษณะเป็นอ่างน้ำขนาดเล็ก มีหาดทรายขาวและน้ำเป็นสีมรกตงดงามมากมีบันไดประมาณสองร้อยกว่าขั้น นักท่องเที่ยวสามารถลงไปชมวิวบริเวณด้านล่างได้ช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวคือระหว่างเดือนกันยายน-กุมภาพันธ์ นอกจากนี้ยังมีทางเดินเท้าจากน้ำตกห้วยหลวง ไปยังน้ำตกจุ๋มจิ๋ม หรือน้ำตกประโอนละออซึ่งเกิดจากสายน้ำที่ไหลลดระดับจากน้ำตกห้วยหลวง สวนหินพลานยาวเป็นกลุ่มหินรูปร่างแปลกตาตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง น้ำตกเกิ้งแม่พองอยู่ห่างจากน้ำตกห้วยหลวงไปทางใต้ประมาณ 9 กิโลเมตร ตามทางเดินป่าเป็นน้ำตกที่เกิดจากลำโดมน้อย แก่งศิลาทิพย์ เป็นแก่งขนาดใหญ่ห่างจากที่ทำการประมาณ 3 กิโลเมตร เกิดจากลำธารห้วยหลวงไหลผ่านลานหินทรายผ่านแก่งหินหักลงเป็นขั้น จนเกิดเป็นน้ำตกขนาดเล็ก บริเวณลานหินกลางลำธารเกิดปรากฎการณ์ “กุมภลักษณ์” คือ หินเกิดเป็นช่องหลุมรูกลมขนาดเล็กใหญ่ตื้นลึกแตกต่างกันไป ตามความแรงของสายน้ำ ดูสวยงามแปลกตา พลาญกงเกวียนลานหินกว้างที่ด้านหน้ามีกลุ่มหินลักษณะเป็นเพิงตามธรรมชาติมีดอกไม้ป่าและพันธุ์ไม้ขึ้นสลับกันเป็นหย่อมๆและนักเดินทางในอดีตได้ใช้ประโยชน์จากเพิงหินเหล่านี้ในการกำบังแดดและฝนในระหว่างการเดินทางจึงเป็นที่มาของชื่อ “พลาญกงเกวียน” พลาญ หมายถึง บริเวณที่เป็นลานกว้าง กงเกวียนเพี้ยนมาจาก พวงเกวียนที่หมายถึงประทุนเกวียนหรือกระทุนเกวียนที่เป็นสิ่งกำบังแดดบนเล่มเกวียนหรือกระทุนเกวียนที่เป็นสิ่งกำบังแดดบนเล่มเกวียนที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางในสมัยโบราณ แก่งสามพันปีและแก่งกะเลา อยู่เลยที่ทำการอุทยานฯ ไปทางทิศใต้ 4 กิโลเมตรรถยนต์เข้าถึง เป็นจุดชมพืชพันธุ์ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แก่งลำดวนอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม บนทางหลวงหมายเลข 2248 (น้ำยืน-นาจะหลวย)ห่างจากอำเภอน้ำยืน 14 กิโลเมตร ถึงบ้านหนองบอน มีทางแยกขวาไปอีก 2.6 กิโลเมตรเป็นน้ำตกที่ไหลมาตามธารหินซึ่งมีต้นไม้ร่มรื่นโดยเฉพาะต้นลำดวนซึ่งมีอยู่มากในบริเวณนี้ สามารถลงเล่นน้ำได้มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติผ่านถ้ำและแก่งต่าง ๆ ภูหินด่างเป็นจุดชมวิวบนหน้าผาสูงมองเห็นทัศนียภาพป่าในเขตประเทศลาวและกัมพูชาซึ่งอยู่เบื้องล่างตามลานหินมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่แปลกจากแหล่งอื่นๆคือบนผนังหน้าผาที่เว้าเข้ามานั้นมีปื้นสีชมพูบ้าง แดงบ้างคล้ายใครเอาสีไปป้ายทาไว้เป็นภาพจิตรกรรมโดยธรรมชาติที่สวยงามซึ่งนักธรณีวิทยาอธิบายว่าเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงสภาพอากาศที่แห้งแล้วเมื่อประมาณหลายร้อยล้านปีจึงส่งผลให้มีการตกตะกอนของแร่ธาตุบางอย่างในน้ำทะเลก่อให้เกิดลักษณะทางธรณีวิทยาเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีทะเลหมอกในช่วงฤดูหนาว การเดินทางใช้เส้นทางหมายเลข2248 (บุณฑริก-นาจะหลวย) จากอำเภอบุณฑริกประมาณ 15 กิโลเมตรผ่านบ้านหนองเม็กไปจนถึงแซลำดวน ซึ่งเป็นจุดจอดรถแล้วเดินเท้าไปอีก 2 กิโลเมตร ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่บ้านแก้งเรือง อำเภอนาจะหลวยห่างจากตัวเมืองอุบลฯประมาณ 150 กิโลเมตร การเดินทาง ไปยังอุทยานฯ มี 2 เส้นทาง คือ1.ใช้เส้นทางสายอุบลราชธานี-เดชอุดม-น้ำยืน-นาจะหลวย 140 กิโลเมตร ก่อนถึงนาจะหลวย10 กิโลเมตร มีทางแยกขวาอีก 8 กิโลเมตรและเส้นทางที่ 2. ใช้เส้นทางอุบลราชธานี-เดชอุดม-บุณฑริก-นาจะหลวย เลยนาจะหลวยไป 10 กิโลเมตรมีทางแยกซ้าย 8 กิโลเมตร ค่าเข้าชมอุทยานฯ คนไทย ผู้ใหญ่ คนละ 40 บาท เด็กคนละ 20 บาท ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ คนละ 200 บาท เด็ก คนละ 100 บาท อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอยมีบริการบ้านพักและจุดกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวแต่นักท่องเที่ยวต้องนำเต็นท์ไปเองรายละเอียดสอบถามที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร.0 2562 0760 www.dnp.go.thหรือติดต่อที่อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย ตำบลนาจะหลวย อำเภอนาจะหลวยจังหวัดอุบลราชธานี 34280 แหล่งข้อมูล: thai.tourismthailand.org
แหล่งท่องเที่ยวภาคกลาง วัดสุทัศน์เทพวราราม
วัดสุทัศน์เทพวราราม ตั้งอยู่ที่ถนนบำรุงเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชประสงค์ จะสร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับ วิหารวัดพนัญเชิง เป็นศรีสง่าแก่พระนคร ได้พระราชทานนามไว้ว่า "วัดมหาสุทธาวาส" แต่สร้างยังมิทันสำเร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสี ยก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงดำเนินงานต่อ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม" สร้างเสร็จสมบูรณ์ ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ เพราะมีสัตตมหาสถาน เป็นอุเทสิกเจดีย์ (ต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่อยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่ พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากว ิหารหลวง วัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย และบานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยมทางด้านการแกะสลัก ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระ หัตถ์ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่มา http://www.unseentravel.com/locate/1111-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1.html
แหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
เดินทางตามถนนห้วยแก้ว ผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ไปตามทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ระหว่างทางจะมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่อยู่เบื้องล่าง ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้เป็นปูชนียสถานคู่เมืองเชียงใหม่นับตั้งแต่โบราณกาล นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาที่จังหวัดนี้จะต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุกันทุกคน ถ้าหากใครไม่ได้ขึ้นไปนมัสการแล้ว ถือเสมือนว่ายังมาไม่ถึงเชียงใหม่ ตามประวัติแห่งดอยสุเทพนั้นเชื่อกันว่า เดิมภูเขาแห่งนี้เป็นที่อยู่ของฤาษีนามว่า "สุเทวะ" ซึ่งตรงกับคำว่าสุเทพอันเป็นที่มาของชื่อดอยสูงแห่งนี้ โดยวัดพระธาตุดอยสุเทพนี้สร้างขึ้นเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 6 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้ทรงอัญเชิญมาจากเมืองศรีสัชนาลัย ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้ากือนาธรรมิกราชทรงแยกพระบรมสารีริกธาตุไว้เป็นสองส่วน โดยอัญเชิญองค์หนึ่งบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสวนดอก ส่วนอีกองค์หนึ่งได้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างมงคล โดยพระเจ้ากือนาธรรมิกราชทรงตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทายว่าหากช้างเชือกนั้นหยุดลงตรงที่ใดก็จะให้สร้างพระธาตุขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งช้างเชือกดังกล่าวได้มาหยุดลงตรงยอดดอยสุเทพแห่งนี้ โดยทำทักษิณาวรรตสามรอบก่อนที่จะล้มลง (ตาย) ดังนั้นพระเจ้ากือนาธรรมิกราชจึงทรงรับสั่งให้สร้างพระบรมธาตุอันเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ ณ ยอดดอยสุเทพ อยู่คู่ฟ้าคู่ดินเชียงใหม่มานับแต่นั้น วัดพระธาตุดอยสุเทพตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ ผู้ที่เดินทางมาสักการะที่วัดแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดนาคไป 300 ขั้น เพื่อไปยังวัด หรือใช้บริการรถกระเช้าขึ้น-ลงดอยสุเทพได้ ระหว่างเวลา 05.30-19.30 น. งานประเพณีเตียวขึ้นดอยเพื่อสักการะพระธาตุดอยสุเทพจัดเป็นประจำทุกปี โดยมีขึ้นก่อนหน้าวันวิสาขบูชา 1 คืน ในงานจะมีขบวนแห่น้ำสำหรับสรงพระธาตุโดยมีพระสงฆ์ สามเณร และพุทธศาสนิกชนจากชุมชนต่าง ๆ มาร่วมขบวนแห่ขึ้นดอยเป็นจำนวนมาก ความเชื่อและวิธีการบูชา เชื่อกันว่าหากมาสักการะและอธิษฐานขอพรพระธาตุดอยสุเทพ จะมีแต่ความสำเร็จสมหวังดังปรารถนา แคล้วคลาด ผ่านอุปสรรคนานาไปได้ ในการสักการะพระธาตุนั้น ควรเตรียมข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียนแล้วเดินเวียนขวา 3 รอบ พร้อมกล่าวคำนมัสการพระธาตุ โดยตั้งจิตอธิษฐานขอให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา และควรไหว้พระธาตุให้ครบทั้ง 4 ทิศ ซึ่งให้อานิสงส์ที่ต่างกัน คือ ทิศเหนือขอให้มีปัญญาดุจพระจัทร์เพ็ญ ทิศใต้ ขอให้ได้เป็นพระภิกษุสงฆ์ได้บวชในบวรพุทธศาสนา ทิศตะวันออกขอให้ได้ขึ้นสวรรค์ ทิศตะวันตกเป็นการเคารพบูชาสูงสุดต่อพระธาตุ สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มานมัสการพระธาตุดอยสุเทพแล้ว ควรมากราบอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ที่ประดิษฐานอยู่ตรงเชิงดอยสุเทพเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย การเดินทาง จากตัวเมืองสามารถเดินทางโดยใช้เส้นทางผ่านหน้ามหาวิทยาลัยและสวนสัตว์เชียงใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถส่วนตัวสามารถเดินทางมาที่วัดโดยรถสองแถวประจำทางจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้านถนนห้วยแก้ว ซึ่งบริการระหว่างเวลาประมาณ 05.00-17.00 น. สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ทางลาด มีทางลาดหลายจุด ส่วนใหญ่มีความชัน ควรมีผู้ช่วยเหลือผู้ที่ใช้ Wheel Chair ในการขึ้นทางลาด ป้ายสัญลักษณ์ มีหลายจุดได้แก่ทางไปลิฟต์ ด้านหน้าลิฟต์ และบริเวณห้องส้วม ห้องส้วม มีห้องส้วมเฉพาะสำหรับคนพิการแบบไม่แยกเพศจำนวน 2 ชุด ลิฟต์ ทางพระธาตุดอยสุเทพจัดลิฟต์สำหรับคนพิการไว้ 1 ตัว ราวจับ มีราวจับบริเวณบันไดและทางลาดเกือบทุกจุด
ข้อมูลจังหวัด ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากมายในทุกจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค และเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการหาข้อมูลของนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดรวบรวมข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด แยกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ตามภูมิภาคและแบ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมเป็นพิเศษอีก รวมทั้งหมด 89 แห่ง ดังนี้ ปลายทางทั้งหมดในเมืองไทย ภาคเหนือ: กำแพงเพชร | ตาก | นครสวรรค์ | น่าน | พะเยา | พิจิตร | พิษณุโลก | ลำปาง | ลำพูน | สุโขทัย | อุตรดิตถ์ | อุทัยธานี | เชียงราย | เชียงใหม่ | เพชรบูรณ์ | แพร่ | แม่ฮ่องสอน | ภาคตะวันออก: จันทบุรี | ชลบุรี | ตราด | ปราจีนบุรี | พัทยา | ระยอง | สระแก้ว | เกาะกูด | เกาะช้าง | เกาะเสม็ด | ภาคกลาง: กรุงเทพมหานคร | กาญจนบุรี | ฉะเชิงเทรา | ชะอำ | ชัยนาท | นครนายก | นครปฐม | นนทบุรี | ปทุมธานี | ประจวบคีรีขันธ์ | ปราณบุรี | พระนครศรีอยุธยา | ราชบุรี | ลพบุรี | สมุทรปราการ | สมุทรสงคราม | สมุทรสาคร | สระบุรี | สิงห์บุรี | สุพรรณบุรี | หัวหิน | อ่างทอง | เพชรบุรี | ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: กาฬสินธุ์ | ขอนแก่น | ชัยภูมิ | นครพนม | นครราชสีมา | บึงกาฬ | บุรีรัมย์ | มหาสารคาม | มุกดาหาร | ยโสธร | ร้อยเอ็ด | ศรีสะเกษ | สกลนคร | สุรินทร์ | หนองคาย | หนองบัวลำภู | อำนาจเจริญ | อุดรธานี | อุบลราชธานี | เลย | ภาคใต้: กระบี่ | ชุมพร | ตรัง | นครศรีธรรมราช | นราธิวาส | ปัตตานี | พังงา | พัทลุง | ภูเก็ต | ยะลา | ระนอง | สงขลา | สตูล | สุราษฎร์ธานี | หาดใหญ่ | เกาะพะงัน | เกาะพีพี | เกาะลันตา | เกาะสมุย | เกาะเต่า |

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=yJC8qjmT3oM
ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=dSTGKvQfcgQ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลหาดทรายขาว น้ำทะเลใส แสงแดดจัดแจ่ม และความสะดวกสบายทั้งด้านการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก บริษัทนำเที่ยว การแสดงอันเต็มไปด้วยสีสัน ฯลฯ ย่อมไม่มีใครไม่นึกถึงภูเก็ต เกาะขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศพื้นที่ประมาณ 543 ตร.กม. ของเกาะนี้โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีเขียวมรกตและมีหาดทรายขาวเนียน เหมาะแก่การพักผอ่น รวมทั้งยังเอื้อต่อการทำกิจกรรมสนุกในทะเลและริมทะเลอีกด้วย  ความโดด เด่นของชายทะเลและกล่มเกาะในภูเก็ตเกิดจากภูมิประเทศที่เป็นชายฝั่งทะเลลด ตัว พื้นที่ส่วนที่ต่ำจะจมอยู่ใต้น้ำ ปรากฎเฉพาะยอดสูงเหลี่ยมล้ำเหนือผิวทะเลเป็นกลุ่มเกาะน่าเที่ยว สำหรับตัวเกาะใหญ่คือภูเก็ต นั้น ทางฝั่งตะวันตกมีลักษณ์เป็นอ่าวเว้าแหว่ง และปูลาดด้วยเม็ดทรายละเอียด เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน เป็นต้น ส่วนทางด้านตะวันออกส่วนใหญ่เป็นป่าชายเลนและหาดโคลน ขณะที่บริเวณทิศใต้มีแนวปะการังสวยงาม

นอกจากตัวเกาะใหญ่แล้ว เกาะเล็กเกาะน้อยที่ตั้งอยู่รอบๆ ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรมองข้ามเพราะมีหาดทรายขาว น้ำทะเลใสเช่นเกาะราชา เกาะเฮ เกาะมะพร้าวเป็นต้น

ไม่เพียงเพราะภูมิประเทศงดงามทำให้ภูเก็ตเติบโตเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่นี้ยังเต็มเปี่ยมด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่สั่งสมหล่อหลอมอยู่ในวิถี ชีวิตของผู้คน บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองอันยาวนานนับแต่ยุคต้นคริสตกาล ภูเก็ตซึ่งขณะนั้นมีชื่อว่า "ถลาง" เป็นเกาะที่นักเดินเรือ ซึ่งเดินทางระหว่างจีนและอินเดียรู้จักในนาม "จังซีลอน" เป็นทั้งท่าเรือและศูนย์กลางการค้า โดยมีสินค้าเด่นคือแร่ดีบุก เป็นสินทรัพย์ในดินที่สร้างรายได้ให้เมืองสืบต่อมาเนิ่นนาน

ล่วงมาสมัยรัชกาลที่ 1 ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ขึ้น เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองถลางขณะนั้นเจ้าเมืองเพิ่งถึงแก่อนิจกรรม คุณหญิงจันผู้เป็นภรรยา และคุณมุกน้องสาว จึงร่วมกันนำกำลังผู้คนรับมือกับการตีเมืองของพม่าด้วยแผนการอันแยบยล จนพม่าถอยทัพกลับไปเพระความกล้าหาญและคุณงามความดีนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้คุณหญิง จันเป็นท่านท้าวเทพกระษัตรีและคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทรปรากฎนามกระเดื่องใน ฐานวีรสตรีไทยมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อบ้านเมืองสงบ บรรยากาศของการค้าขายก็กลับมาคึกคัก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อความต้องการแร่ดีบุกของตลาดโลกเพิ่มขึ้นจนแรงงานขุดแร่ไม่เพียงพอ ถึงขนาดต้องรับคนจีนที่ทำเหมืองแร่อยู่ในปีนังและสิงคโปร์มาเป็นคนงาน ยุคนั้นเองที่ชาวจีนฮกเกี้ยนได้เข้ามาตั้งรกรากในภูเก็ต มีการสร้างที่อยู่อาศัยในรูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียลและตกแต่งรายละเอียด ด้วยศิลปะจีนอันเป็นเอกลัษณ์ของภูเก็ตเช่นที่เห็นทุกวันนี้

มาเยือนภูเก็ต แล้วคุณจะรู้ว่าเกาะแห่งนี้เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและทรัพยากรธรรมชาติที่มากมาย ทั้งบนดินและใต้น้ำรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสารพันที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี



ที่มา http://thai.tourismthailand.org/where-to-go/cities-guide/destination/phuket/